สำหรับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมทุกคนนั้น การถูกชาวบ้านในชุมชนร้องเรียนเรื่องปัญหาเสียงดัง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “อุปสรรคอันยิ่งใหญ่” ที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นทำให้โรงงานไม่สามารถไปต่อได้ เพราะเรื่องปัญหาเสียงดังนั้น มีมาตรฐานตามกฎหมายที่ผู้ประกอบการจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่ทั้งนี้ หลายๆ โรงงานอุตสาหกรรมก็เลือกแก้ปัญหาเสียงดังนี้ในแบบ “ประหยัดที่สุด” โดยไม่ได้เลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงให้เข้าไปแก้ไขโดยเฉพาะ ซึ่งผลเสียของการไม่เลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาเสียงดังในโรงงานที่ผู้ประกอบการควรรู้ ก็ได้แก่
1. แก้ไขปัญหาไม่ได้จริงอย่างที่กฎหมายกำหนด
เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนเลยว่า โรงงานอุตสาหกรรมจะต้องควบคุมระดับเสียงดังในโรงงานให้อยู่ในเกณฑ์ใด จึงจะถูกต้องเหมาะสม ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน และไม่สร้างความรบกวนต่อผู้คนในชุมชน ดังนั้น หากผู้ประกอบการโรงงานไม่ได้เลือกใช้บริการการแก้ไขปัญหาเสียงจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงแล้วล่ะก็ โอกาสที่จะแก้ไขปัญหาออกมาแล้วได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายก็จะเป็นไปได้ยาก โดยเหตุผลอาจมีได้หลายอย่าง อาทิ ไม่ทราบข้อกฎหมาย ไม่มีเทคโนโลยีในการวัดระดับเสียงที่ดีและมีประสิทธิมากพอ จึงทำให้แก้ไขได้ไม่ตรงตามเป้า หรือ ไม่มีวัสดุและเทคนิควิธีในการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายในการแก้ไข
2. เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายที่เกินจริง
ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมหลายๆ คน อาจมองว่าการเลือกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงโดยตรง อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป จึงตัดสินใจเลือกใช้การแก้ปัญหาเสียงดังผ่านช่างทั่วไปแทน ซึ่งจริงอยู่ที่งบประมาณในการเลือกใช้ช่างทั่วไปอาจไม่สูงมาก แต่ถ้าหากแก้ไขออกมาแล้วไม่ได้ผล ไม่มีประสิทธิภาพ ก็เท่ากับเป็นการเสียเวลา และต้องหาทางแก้ไขใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็กลายเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเสียงดัง ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของโรงงาน และไม่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่บานปลาย การเลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงโดยตรง จึงเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า คุ้มค่ามากกว่า และประหยัดเวลาได้มากกว่า
อะไรบ้าง ที่ทำให้การแก้ไขปัญหาเสียงดังโรงงานมีประสิทธิภาพ
เหตุผลที่ทำให้การแก้ไขปัญหาเสียงดังของโรงงานอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงโดยเฉพาะนั้น เป็นเพราะ ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงมีองค์ความรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุด ในขณะเดียวกันก็มีเทคโนโลยี และเครื่องมือสำคัญ ที่ทำให้สามารถทำให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการได้นั่นเอง ทั้งนี้ เทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาเสียงที่ผู้เชี่ยวชาญเลือกใช้ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่
1. โปรแกรม Engineering Noise Control ที่ใช้สำหรับออกแบบงานควบคุมเสียงให้มีประสิทธิภาพ
2. โปรแกรมจำลองเสียงจริงจากการสร้างแบบจำลอง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และวางแผนได้การแก้ไขปัญหาเสียงได้อย่างประสิทธิภาพ
3. โปรแกรมประเมินคุณสมบัติของวัสดุอะคูสติกต่างๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การเลือกใช้วัสดุป้องกันเสียงทุกชิ้นจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเสียงได้จริง ไม่ใช่เลือกมาใช้แล้วแก้ไขไม่ได้ กลายเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ ต้องทิ้งเสียของ จนทำให้งบประมาณบานปลาย
4. เครื่องตรวจวัดระดับเสียงที่ได้มาตรฐานระดับโลก ที่ทำให้สามารถวัดระดับเสียงได้อย่างแม่นยำ อันนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเสียงที่ได้ผล วัดผลได้ และได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
เพราะโรงงานอุตสาหกรรมคือธุรกิจที่ต้องมีการลงทุน ต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้คน ดังนั้น ในการแก้ไขปัญหาเสียง จึงจำเป็นจะต้องเลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด คือทำให้โรงงานได้รับการยอมรับ ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คน ซึ่งหากทได้ก็จะทำให้โรงงานสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น และต่อเนื่อง อันนำมาซึ่งรายได้และผลกำไรอย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ กลับกันเลยที่หากผู้ประกอบการตัดสินใจมองข้ามการเลือกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงโดยตรงไป ก็อาจส่งผลกระทบกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้การดำเนินกิจการต้องสะดุดติดขัดและล้มเหลวได้